แอพพลิเคชั่นที่ชื่อ Cardboard ลงในสมาร์ทโฟน ที่ทำออกมาเพื่อใช้กับ Google Cardboard โดยเฉพาะ
ข้อจำกัดสำคัญของ Google Cardboard และแว่น VR
การใช้งานกับผู้ที่มีปัญหาด้านสายตา เช่น สายตาสั้น
สายตายาว สายตาเอียง ซึ่งปกติการใส่แว่นก็จะช่วยได้ แต่พอมาใส่แว่น VR แล้ว มันใส่แว่นสายตาไม่ได้
ถ้าใครไม่ได้ใส่คอนแท็กเลนส์ก็อาจจะได้ประสบการณ์ไม่ดีเท่าไหร่
ถ้าเป็นพวกต้นทุนต่ำแบบ Google Cardboard มันปรับโฟกัสของภาพไม่ได้ ก็จะลำบากเลย แต่พวกต้นทุนสูงหน่อย อย่าง Galaxy Gear VR นั้น มันมีตัวปรับโฟกัสช่วย แต่มันก็ไม่ช่วยสำหรับคนสายตาเอียงอยู่ดี
ความเมื่อยล้าทางสายตา
มันค่อนข้างเป็นภาระกับสายตาของผู้ใช้งานไม่น้อยเลย แต่ละคนจะแตกต่างกันออกไป
การใช้งานติดต่อกันซัก 2-3
ชั่วโมงไม่ค่อยจะเป็นปัญหาเท่าไหร่ แต่ถ้าไปดูพวกจอ 3-D แบบ Parallax Barrier (ลองนึกถึง LG Optimus 3D, Optimus 3D MAX หรือ HTC EVO 3D ดู)
แล้วปวดตา หรือเล่นเกมแนว First-person Shooting แล้วเวียนหัว
จะมีปัญหากับการใช้แว่น VR แบบนี้ได้ง่าย ตรงนี้จะเป็นอุปสรรคหลักที่จะทำให้คนไม่มาโอบอุ้มเทคโนโลยี
VR ซักเท่าไหร่
แบตเตอรี่ของอุปกรณ์ เนื่องจากหลักการของการแสดงผลคือการแบ่งหน้าจอสมาร์ทโฟนออกเป็น
2 ส่วน ประมวลผลแยกซ้ายขวา
ดังนั้นมันจึงต้องการสเปกฮาร์ดแวร์ระดับหนึ่ง
เพราะต้องการความสามารถในการประมวลผลพอสมควรเลย โดยเฉพาะหากจะแสดงผลออกมาเป็นแบบ 3D แล้วไหนจะต้องใช้งานเซ็นเซอร์ทั้ง Accelerometer, Gyroscope และเซ็นเซอร์แม่เหล็กอีก แน่นอนว่าเรื่องประสิทธิภาพไม่น่าจะเป็นปัญหา
เพราะเมื่อเวลาผ่านไป อุปกรณ์ประสิทธิภาพสูงขึ้น ราคาก็ถูกลงอีก
แต่อุปสรรคหลักก็คือ แบตเตอรี่ เพราะประมวลผลเยอะๆ เซ็นเซอร์อีกเพียบ
เท่ากับกินแบตเตอรี่ จากที่ทดสอบกับ LG Nexus 5 พบว่า
แค่ใช้งานไม่ถึงชั่วโมง แบตเตอรี่ก็ลดไปร่วม 40% แล้ว
ซึ่งประเด็นเรื่องนี้ จะเป็นอุปสรรคหลักสำหรับผู้ที่จะใช้เทคโนโลยี VR
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น